มาทำความรู้จักกับกองทุนรวมแบบต่างๆไปพร้อมๆกับผมดีกว่า

Theeruttop (Toppy)

มาทำความรู้จักกับกองทุนรวมแบบต่างๆไปพร้อมๆกับผมดีกว่า

ทำไมถึงอยากเขียนเรื่องกองทุนรวม? (บันทึกเส้นทางสู่ความมั่งคั่ง)

สวัสดีครัช! ช่วงนี้ผมรู้สึกว่าเงินฝากธนาคารมันช่างได้ดอกเบี้ยน้อยเหลือเกิน 😩 แต่พอจะกระโดดเข้าสู่โลกของการลงทุนเองก็มึนตึบไปหมด ทั้งหุ้น หุ้นกู้ ทองคำ… เยอะแยะไปหมดเลย

ผมเลยปักหมุดที่ “กองทุนรวม” เพราะได้ยินมาว่ามันเป็นทางลัดสำหรับมือใหม่ (หรือคนขี้เกียจตามตลาดแบบผม) ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษี หรือแค่หวังผลตอบแทนที่สูงกว่าดอกเบี้ยธนาคาร ผมเลยอยากจดบันทึกความทรงจำและมาเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ ที่สนใจ การสร้างความมั่นคงทางการเงิน ไปด้วยกันเลยครับ!


กองทุนรวมคืออีหยังวะ? (เปรียบเทียบง่ายๆ)

ลองนึกภาพตามนะครับ: กองทุนรวมก็เหมือนกับการ “ลงขัน”

  1. เรา: นักลงทุนรายย่อยหลาย ๆ คน เอาเงินมา “ลงขัน” รวมกันเป็นก้อนใหญ่เบิ้ม
  2. บริษัทจัดการกองทุน: รับเงินก้อนนี้ไป แล้วจ้าง “ผู้จัดการกองทุน” ซึ่งเป็นมือโปรด้านการลงทุนโดยเฉพาะ
  3. ผู้จัดการกองทุน: ทำหน้าที่เป็นคนขับรถคันนี้ นำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามที่ตกลงไว้ในหนังสือชี้ชวน (เหมือนเป็นแผนที่การลงทุน)

ข้อดีคือ: เราไม่ต้องปวดหัวเลือกหุ้นหรือตราสารหนี้เอง แถมเงินก้อนใหญ่ที่รวมกันก็ทำให้เราสามารถไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภทได้ง่ายขึ้นกว่าการลงทุนด้วยเงินตัวเองคนเดียวเยอะเลย! ช่วยกระจายความเสี่ยงไปในตัวด้วยนะ


กองทุนรวมเหมาะกับใคร?

กองทุนรวมคือคำตอบสำหรับคนกลุ่มนี้เลยครับ:

  • มือใหม่หัดลงทุน: ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ไม่ต้องกลัว เพราะมีมืออาชีพดูแลให้
  • มนุษย์เงินเดือนผู้ไม่มีเวลา: ไม่มีเวลาติดตามภาวะตลาด ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ
  • คนที่อยากกระจายความเสี่ยง: มีเงินไม่เยอะ แต่ก็อยากลงทุนในสินทรัพย์หลากหลาย

💡 กองทุนรวม: มิตรแท้ของมนุษย์เงินเดือนนักเก็บ

ถ้าคุณเป็นพนักงานประจำที่ชอบเก็บเงิน มีเงินเดือนเข้าบัญชีแบบเป๊ะ ๆ ทุกเดือน กองทุนรวมนี่แหละคือเครื่องมือที่เกิดมาเพื่อคุณเลยครับ เพราะมันช่วยเปลี่ยน “เงินออมที่นิ่งเฉย” ให้กลายเป็น “เงินทำงาน” ได้อย่างง่ายดาย

1. ใช้เงินเดือนให้เป็นประโยชน์ด้วย DCA (ลงสม่ำเสมอ)

คนมีเงินเดือนจะรู้ว่ารายได้เราเป็นก้อนคงที่ทุกเดือน ซึ่งเหมาะที่สุดกับการลงทุนแบบ DCA (Dollar-Cost Averaging)

  • DCA คืออะไร? คือการลงทุนด้วยเงินจำนวนเท่ากันทุกเดือนแบบสม่ำเสมอ (เช่น ทุกวันที่ 25 ตัดบัญชี 5,000 บาท)
  • ดีอย่างไร? ช่วยตัดปัญหาการจับจังหวะตลาดออกไปได้เลย ไม่ต้องกังวลว่าตอนนี้ราคาหน่วยลงทุนกำลังขึ้นหรือกำลังลง เพราะถ้าเราลงสม่ำเสมอ เราจะได้ซื้อหน่วยลงทุนในราคาเฉลี่ย ทำให้เราไม่ต้องกลัวความผันผวนมากเกินไป

เคล็ดลับ: พอเงินเดือนเข้าปุ๊บ ตั้งตัดบัญชีอัตโนมัติเข้ากองทุนปั๊บ! เท่านี้คุณก็เปลี่ยนนิสัยจาก ‘ออมเฉย ๆ’ เป็น ‘ออมพร้อมลงทุน’ ทันที

2. โบนัสสองต่อ: ผลตอบแทน + ลดหย่อนภาษี

สำหรับพนักงานประจำที่ต้องเสียภาษีทุกปี กองทุนรวมบางประเภทให้ผลประโยชน์ที่คุ้มค่าสุด ๆ เพราะได้ “สองต่อ” คือ:

  • ต่อที่ 1: ผลตอบแทนจากการลงทุน (กำไรที่ได้จากกองทุน)
  • ต่อที่ 2: สิทธิ์ในการลดหย่อนภาษี (ได้เงินภาษีที่จ่ายไปคืนกลับมา)

กองทุนกลุ่มนี้ได้แก่ RMF (เพื่อการเลี้ยงชีพ) และ SSF (เพื่อการออม) ซึ่งถือเป็นทางเลือกยอดนิยมที่ช่วยให้เรามีวินัยในการออมระยะยาวไปในตัว

3. Passive Income ที่แท้จริง

เนื่องจากมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพคอยดูแลการซื้อขายสินทรัพย์ให้ เราจึงไม่ต้องทำอะไรเลยนอกจาก “โอนเงิน” เข้าไปเท่านั้น เงินของเราจะทำงานสร้างผลตอบแทนให้โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาเฝ้าตลาดตอนกลางวันเลยครับ


💰 กองทุนรวมที่ขายในประเทศไทยมีอะไรบ้าง? (แบ่งตามสินทรัพย์ที่ลงทุน)

การจำแนกกองทุนรวมนั้นดูง่ายที่สุดคือ ดูว่าเขาเอาเงินเราไปลงทุนในอะไร ซึ่งโดยหลัก ๆ แบ่งได้ดังนี้ครับ:

ฐานมั่นคง (ความเสี่ยงต่ำ)

1. กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)

  • ลงทุนใน: เงินฝาก, ตั๋วเงิน, ตราสารหนี้คุณภาพดีที่อายุสั้น (ไม่เกิน 1 ปี)
  • ฟีลลิ่ง: เหมือนเงินฝากออมทรัพย์ที่ได้ดอกเบี้ยดีขึ้นมาหน่อย สภาพคล่องสูงมาก แต่ผลตอบแทนต่ำ

2. กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund)

  • ลงทุนใน: ตราสารหนี้ทั้งรัฐบาล (พันธบัตร) และเอกชน (หุ้นกู้)
  • ฟีลลิ่ง: เหมือนการให้คนอื่นยืมเงินเพื่อรับดอกเบี้ยคืน ความเสี่ยงจะสูงขึ้นตามอายุของตราสารหนี้ แต่ยังต่ำกว่าหุ้นมาก

กึ่งกลาง (ผสมผสานความเสี่ยง)

3. กองทุนรวมผสม (Mixed Fund)

  • ลงทุนใน: สารพัดสินทรัพย์ ทั้งเงินฝาก, ตราสารหนี้, หุ้น, ทองคำ, อสังหาฯ โดยมีการกำหนดสัดส่วนที่ยืดหยุ่น
  • ฟีลลิ่ง: ผู้จัดการกองทุนจะปรับสัดส่วนเองตามสถานการณ์ตลาด ถ้าตลาดดีอาจเพิ่มหุ้น ถ้าตลาดแย่ก็โยกไปถือตราสารหนี้เยอะหน่อย เป็นการกระจายความเสี่ยงแบบมืออาชีพ

ลุยหนัก (ความเสี่ยงสูง)

4. กองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund)

  • ลงทุนใน: เน้นลงทุนในหุ้นสามัญเป็นหลัก (หุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศก็ได้)
  • ฟีลลิ่ง: หวังผลตอบแทนสูง แต่ก็ต้องรับความเสี่ยงสูงเช่นกัน เหมาะกับคนที่รับความผันผวนของราคาหุ้นได้

5. กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม (Sector Fund)

  • ลงทุนใน: หุ้นที่เจาะจงเฉพาะกลุ่ม เช่น กลุ่มธนาคาร, กลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่ม Healthcare
  • ฟีลลิ่ง: โฟกัสไปเลยว่าอุตสาหกรรมไหนจะรุ่ง ถ้าเลือกถูกก็ได้ผลตอบแทนสูงลิ่ว แต่ถ้าอุตสาหกรรมนั้นเจ๊งก็เจ๊งหนักกว่ากองทุนหุ้นทั่วไป

6. กองทุนรวมสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Fund)

  • ลงทุนใน: สินทรัพย์พิเศษ เช่น ทองคำ, น้ำมัน, โภคภัณฑ์ (Commodities), อสังหาริมทรัพย์, Private Equity
  • ฟีลลิ่ง: เป็นตัวกระจายความเสี่ยงที่ดี เพราะมักจะไม่ได้เคลื่อนไหวตามราคาหุ้น เหมาะกับคนที่ต้องการความหลากหลายนอกตลาดหุ้น

กองทุนรวมเพื่อเป้าหมายพิเศษ (ลดหย่อนภาษี & ต่างประเทศ)

7. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)

  • วัตถุประสงค์: ส่งเสริมการออมระยะยาวเพื่อเกษียณอายุ (RMF) และเพื่อการออมและลดหย่อนภาษี (SSF)
  • ฟีลลิ่ง: เป็น “ห่อ” ที่มีนโยบายลงทุนได้หลากหลาย (หุ้น, ตราสารหนี้, ผสม) แต่มีเงื่อนไขเรื่องระยะเวลาถือครองและการขายคืนเพื่อแลกกับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี

8. กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF)

  • ลงทุนใน: หลักทรัพย์ต่างประเทศทั่วโลก
  • ฟีลลิ่ง: เปิดโลกการลงทุนให้เราเข้าถึงบริษัทระดับโลกอย่าง Apple, Google หรือตลาดเติบโตอื่น ๆ แต่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน (ค่าเงิน) เข้ามาเพิ่มด้วยนะ!

🤔 สิ่งที่เราจะต้องถามตัวเองก่อน “ลงขัน”

ก่อนจะเลือกกองทุนรวมได้ถูกประเภท เราต้องรู้จักตัวเองก่อนครับ! ลองตอบคำถามเหล่านี้ดูนะ:

  1. เป้าหมายชัดไหม?: เราลงทุนเพื่ออะไร? (เช่น ซื้อบ้านใน 5 ปี, เก็บเงินเกษียณใน 30 ปี, หรือแค่เก็บเงินสำรองฉุกเฉิน)
  2. นานแค่ไหน?: ระยะเวลาที่เราวางแผนจะลงทุนคือสั้น กลาง หรือยาว? (ยิ่งยาว…ยิ่งรับความเสี่ยงสูงได้ดี)
  3. ยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน?: ถ้าเห็นพอร์ตตัวเองติดลบ 20% จะเป็นลมไหม? (ถ้าไม่ไหว ให้เลือกลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงต่ำ)
  4. สภาพคล่องไหวไหม?: เงินที่จะลงทุนเป็นเงินเย็นจริง ๆ ที่จะไม่ต้องใช้ใน 3-5 ปีข้างหน้าใช่ไหม?
  5. ผลตอบแทนคาดหวังเท่าไหร่?: อยากได้กำไรปีละ 5% หรือ 10%? (ยิ่งคาดหวังสูง ความเสี่ยงที่ต้องแบกก็สูงขึ้นตามนะ)

สรุป: การลงทุนในกองทุนรวมนั้นง่าย แต่การเลือกกองทุนที่ “เข้ากับเรา” ต้องเริ่มจากการรู้จักตัวเองก่อนเป็นอันดับแรกเลยครัช!